รู้เร็ว กระตุ้นพัฒนาการไว
สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้
โรคออทิสติกเป็นคำที่ใช้อธิบายปัญหาทางประสาทสัมผัสและการเข้าสังคม ส่งผลโดยตรงต่อการรับรู้ของเด็กต่อสถานการณ์รอบตัว เด็กออทิสติกมักประสบปัญหาในการเข้าสังคม การผูกมิตรกับผู้อื่นและสามารถเข้าใจการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด นักกิจกรรมบำบัดสามารถให้การบำบัดรักษาที่มีประสิทธิภาพโดยมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาทักษะทางสังคม การสื่อสารและปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ออทิสติก ส่งผลกระทบต่อเด็กในรูปแบบที่แตกต่างกัน จะมีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนและอาจพบพฤติกรรมดังต่อไปนี้ได้:
1.ความบกพร่องของทักษะสังคม
ไม่ชอบพบปะผู้คนใหม่ ๆ
ไม่มองหน้าสบตาหรือไม่สบตา
ไม่ชี้บอกความต้องการ
ไม่แสดงความสนใจร่วมกับผู้เลี้ยงดู
ไม่รู้จักอวดโชว์สิ่งของเวลามีสิ่งของใหม่ๆ หรือสิ่งของที่ตนเองชอบ
ชอบเล่นคนเดียว ชอบแยกตัว
ไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน
ไม่ชอบเข้าหาผู้อื่น ไม่สนใจพูดคุยกับผู้อื่น
2.ความบกพร่องของพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร
เรียกชื่อไม่หัน
ไม่ส่งเสียงโต้ตอบกับผู้เลี้ยงดู
พูดช้า หรือ ไม่พูด พูดซ้ำคำ พูดภาษาของตัวเอง
ไม่ใช้ภาษาท่าทางในการสื่อสาร เช่น ไหว้ โบกมือ
ไม่ทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้
ชอบพูดทวนประโยคที่เคยได้ยินมา
3.ความผิดปกติทางพฤติกรรม
มีพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ สะบัดนิ้ว โยกตัว วัตถุที่กำลังหมุน
ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ชอบเฉพาะเรื่องที่ตนเองสนใจ
ต้องมีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไม่ค่อยได้
มีการตอบสนองของประสาทสัมผัสต่อสิ่งเร้าที่มากหรือน้อยเกินไป ทั้งแสง ความร้อน เสียง กลิ่น หรือรสชาติ จึงแสดงพฤติกรรม เช่น เดินเขย่งปลายเท้า ดมหรือเลียสิ่งของ ปิดหูเมื่อได้ยินเสียงดัง
เด็กออทิสติกมักจะแสดงพฤติกรรมเมื่ออยู่ที่บ้านและโรงเรียนอย่างไร?
ด้วยเด็กออทิสติกปัญหาทางพฤติกรรมและการสื่อสาร จะส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิต แม้จะเป็นกิจกรรมง่ายๆก็ต้องความพยายามสูง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จึงมักแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียน ดังนี้
บ้าน
- ทำความเข้าใจได้ค่อนข้างยาก
- ในห้องครัวเมื่อคุณแม่ทำอาหารทำให้มีกลิ่นฉุน เด็กออทิสติกที่รับกลิ่นได้เร็วกว่าปกติจะไม่ชอบ
- มักหงุดหงิดได้ง่ายหากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง (เช่น ในช่วงเทศกาลมีคนเยอะหรือหากมีเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้ามาในบ้าน)
- รู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากต้องรับเมื่อมีแขกมาที่บ้าน
- การเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมหรือผงซักฟอกกลิ่นใหม่ ส่งผลให้เด็กเกิดอาการกระสับกระส่าย อยู่ไม่นิ่ง
- ในห้องนอนมีแสงส่องเข้ามาในห้องทำให้นอนหลับยาก
โรงเรียน
- สิ่งแวดล้อมในห้องเรียนหากไม่เหมาะสมกับเด็ก อาจทำให้เด็กออทิสติกไม่สามารถอยู่ร่วมได้
- ต้องมีตารางกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไม่ค่อยได้
- การเปลี่ยนครูผู้สอนอาจทำให้เด็กออทิสติกรู้สึกเป็นทุกข์
- เด็กออทิสติกมักยึดติดสิ่งของภายในห้องเรียน
- ไม่มีเพื่อน เข้ากับเพื่อนได้ยาก
- ไม่ชอบเรียนวิชาพละหรือไม่ชอบไปเล่นที่สนามเด็กเล่น
- จำทางเดินในโรงเรียนไม่ได้
เด็กออทิสติกจะมีความยากลำบากเมื่ออยู่ที่บ้านหรือไปโรงเรียน พ่อแม่จะต้องเข้าใจ ควรได้รับการบำบัดโดยเร็ว
เมื่อพ่อแม่พบข้อบ่งชี้ที่น่าสงสัย ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหรือพบนักกิจกรรมบำบัดเพื่อประเมินพัฒนาการและพฤติกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพและแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
สาเหตุ
สาเหตุของออทิสติกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันว่า
- ปัจจัยพันธุกรรม มีงานวินิจฉัยว่าพบความผิดปกติในส่วนจำเพาะของโครโมโซมหรือยีนส์ และยังพบความเสี่ยงสูงต่อลูกเป็นออทิสติกเมื่อพ่อแม่มีลูกตอนอายุมากแล้ว
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ก็ถือเป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดโรคออทิสติกได้เช่นกัน โดยสาเหตุหลักถูกแบ่งออกเป็น 3 ข้อหลัก ดังนี้:
- การสูบบุหรี่ ในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรกส่งผลให้เด็กเป็นออทิสติกเพิ่มขึ้น 40%
- การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ในระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มโอกาสในการคลอดบุตรเป็นออทิสติกถึง 7%
- พ่อแม่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มีแนวโน้มที่จะมีลูกที่เป็นออทิสติกมากถึง 6 เท่า
คือ เด็กปกติที่ขาดโอกาสได้เรียนรู้อย่างเหมาะสมตามช่วงวัยทั้งการเล่นและการเรียน ทำให้เด็กมีพัฒนาการล่าช้า อีกทั้งปัจจุบันการใช้สื่อมีจอ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โทรทัศน์มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดูจอมากเท่าไหร่เด็กยิ่งมีโอกาสเป็นออทิสติกเทียมมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากขาดมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ขาดการเล่นและขาดทักษะทางสังคม
หากเด็กออทิสติกเทียมเมื่อได้รับการกระตุ้นพัฒนาการและพฤติกรรมก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ
การบำบัดรักษาโรคออทิสติกเทียม มีวิธีใดบ้าง?
- ฝึกกิจกรรมบำบัด (Occupational therapy)
- ฝึกพูด (Speech therapy)
- ฝึกทักษะการเข้าสังคม (Social skills therapy)
- พฤติกรรมบำบัด (Behavioral therapy)
- การเสริมสร้างพัฒนาการ (Group-based parent training)
- โดยการใช้ยา (Medications)
นักกิจกรรมบำบัดมีความรู้และทักษะในการให้การบำบัด กระตุ้นพัฒนาการและการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาพฤติกรรมที่พบในเด็กออทิสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้แนวทางดังต่อไปนี้:
- ส่งเสริมการบูรณาประสามการรับความรู้สึกสมอง(Sensory Integration)
- ที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็ก
- ให้คำแนะนำและส่งเสริมทักษะการใช้ชีวิตของเด็กออทิสติก
- ปรับสภาพบ้าน เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมของเด็ก
- ปรับสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน ให้เหมาะสมต่อการเรียนของเด็ก
- ฝึกทักษะการเข้าสังคม เพื่อเพิ่มทักษะการสื่อสารด้วยการพูดและภาษากาย
- เสริมอุปกรณ์ เช่น เสื้อกั๊กถ่วงน้ำหนัก เพื่อเพิ่ม“แรงกดสัมผัส”(Deep Touch Pressure) เป็นการการกระตุ้นที่ระบบข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ (Proprioceptive) ช่วยทำให้เด็กเกิดความรู้สึกสงบและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
นักกิจกรรมบำบัดจะสามารถประเมิน วางแผนการบำบัดและให้การบำบัดเป็นรายบุคคล รวมทั้งวิเคราะห์ความสามารถของเด็กการใช้ชีวิตอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ที่บ้าน หรือการทำกิจวัตรประจำวัน นักกิจกรรมบำบัดจะร่วมกับพอ่แม่กำหนดเป้าหมายการฝึกให้บรรลุเป้าหมายไปทิศทางเดียวกัน รวมถึงใช้เทคนิคการฝึกที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กให้กลับไปใช้ชีวิตได้
หากสังเกตเห็นข้อบ่งชี้ของภาวะออทิสติก ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย แม้ว่าภาวะนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้ใกล้เคียงปกติและใช้ชีวิตในสังคมได้ การบำบัดรักษาจะเน้นการปรับพฤติกรรมและฝึกพัฒนาการ นอกจากนี้ยังรวมถึงการฝึกทักษะการช่วยเหลือตนเอง ฝึกทักษะการเข้าสังคม แก้ไขพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆได้ อย่างไรก็ตาม หากเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงทำร้ายตนเอง หรือมีภาวะชักร่วมด้วย แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยาร่วมด้วย